Friday, June 18, 2010

ใส่ใจสักนิด ก่อนจะคิดลงทุนหุ้นกู้เอกชน

ในภาวะที่ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะเวลา 1 ปี ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ 4 แห่ง ย้อนหลังในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ล้วนเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ไม่เต็มบาททั้งนั้น กล่าวคือ ค่าเฉลี่ยของดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะเวลา 1 ปีนั้นไม่ถึงร้อยละ 1

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แม้ตำราการลงทุนหลายๆเล่มจะสอนให้นักลงทุน ทุกคนต้องรู้จักกระจายความเสี่ยง หรืออาจจะเลือกลงทุนสินทรัพย์ทางการเงินให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงของวัฏจักร เศรษฐกิจ แต่ความเป็นจริงที่หลีกหนีไม่พ้นคือคนไทยส่วนใหญ่ยังคุ้นเคยกับการฝากเงินใน ธนาคาร หรือเลือกลงทุนผ่านทางธนาคารเป็นทางเลือกหลักในการออมเงิน

ฉะนั้นในช่วงเวลาอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไม่เต็มบาทเช่นนี้แล้ว คนที่เคยนอนกินดอกเบี้ยเงินฝากหรือมีรายได้เสริมจากการฝากเงิน รายได้ดอกเบี้ยที่ได้มาก็แทบไม่พอจับจ่าย ด้วยเหตุนี้แล้วผู้ออมเงินหลายคนจึงหันหาทางเลือกใหม่ในการออมเงินที่ได้ อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า

ทางเลือกหนึ่งที่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ออมเงิน ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา คือการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชน หรือกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นกู้เอกชน ด้วยอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้เอกชนนั้นสูงกว่าการฝากเงินค่อนข้างมากทำให้ล่อ ตาล่อใจบรรดาผู้ออมเงิน แม้จะรู้ว่าการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนนั้นมีความเสี่ยงก็ตาม

การผิดนัดชำระหนี้ (Default) เป็นความเสี่ยงสำคัญที่นักลงทุนที่คิดจะลงทุนในหุ้นกู้เอกชน ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะในอดีตที่ผ่านมาเหตุการณ์การผิดนัดชำระหนี้ในหุ้นกู้เอกชนก็มีปรากฏ ขึ้นให้เห็นบ้าง เช่นกรณีของ บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) ที่เดิมทีได้อันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) สูงถึง ระดับ A จู่ๆก็กลายเป็นหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ในพริบตาด้วยผลพวงของ Hamburger Crisis ที่ผ่านมา หรือจะเป็นกรณีหุ้นกู้บริษัทปิคนิคแก๊ส แอนด์ เคมิคัลส์ (PICNIC) ที่เคยประสบปัญหาการผิดนัดชำระหนี้เช่นกันที่เคยสร้างปัญหาสั่นสะเทือนวงการ กองทุนรวม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การเลือกลงทุนหุ้นกู้เอกชนภายใต้สถานการณ์ดอกเบี้ยเงินฝากไม่เต็มบาทเช่นนี้ ดูเหมือนนักลงทุนจะลดความใส่ใจถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการลงทุน หุ้นกู้เอกชนไปเลย โดยมองแค่ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนเป็นปัจจัยหลัก สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนก็เหมือนกับนักลงทุนมีสถานะ เป็นเจ้าหนี้บริษัทเอกชนที่ออกหุ้นกู้เหล่านั้น ฉะนั้นการจะปล่อยกู้ให้ใครสักคนเราควรจะเพิ่มความใส่ใจมากขึ้นถึงความสามารถ ในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ อย่าประมาทว่าบริษัทที่มีประวัติดี ที่เราคุ้นเคยกัน หรือมี Rating อันดับ สูงๆจะไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ได้ เพราะปัญหาเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนรายย่อยคิดที่จะลงทุนในหุ้นกู้เอกชน นั้นทำได้คือ อย่างน้อยควรจะให้ความใส่ใจในการศึกษาแนวโน้มเครดิตของหุ้นกู้เอกชนที่เรา คิดจะลงทุนตรง หรือลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวมหุ้นกู้เอกชน โดยข้อมูลเหล่านี้เราอาจใช้ INTERNET ในการช่วยค้นหาข้อมูล หรือ อาจจะเลือกใช้บริการของ TRIS RATING ซึ่งให้บริการวิเคราะห์และประเมินสถานะความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ สกุลเงินบาท โดยที่นักลงทุนสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลแนวโน้มเครดิตผ่าน เวบไซต์ http://www.trisrating.com/en/rating_information/rating_list.html ซึ่งทาง TRIS จะมีบริการข้อมูลโดย สังเขปที่เป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนได้ศึกษาก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในหุ้น กู้เอกชน สุดท้ายนี้สิ่งที่อยากฝากถึงนักลงทุนว่า “อย่าลืมเสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน”

No comments:

Post a Comment