ช่วงเวลา 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดเกิดใหม่ (Emerging
Market) ได้รับความสนใจจากบรรดานักลงทุนมากมายทั่วโลกในฐานะโอกาสใหม่แห่งการลงทุนด้วยศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
แต่ในปัจจุบันนักลงทุนบางกลุ่มก็เริ่มมองว่า Valuation ของตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ถูกซื้อขายในราคาที่แพงเกินไปจนเริ่มลดระดับความน่าสนใจลง
ยิ่งไปกว่านั้นโครงสร้างรายได้ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging
Market) ส่วนใหญ่นั้นมักพึ่งพิงการส่งออกวัตถุดิบหรือส่งออกต่อสินค้าไปยังประเทศซีกโลกตะวันตก
ซึ่งในปัจจุบันประเทศคู่ค้าหลักของประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เหล่านี้ต่างเผชิญปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวหรือหดตัวลงในบางประเทศอันเป็นผลให้กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
(Emerging Market) ยากที่จะเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจผ่านการค้าระหว่างประเทศเหมือนที่เคยปฏิบัติมาในอดีต
ด้วยมูลค่าการซื้อขายในตลาดเกิดใหม่ที่เริ่มแพงและโอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลง
นักลงทุนบางส่วนจึงเริ่มแสวงหาโอกาสลงทุนใหม่ๆที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตลาดเกิดใหม่
ซึ่งการลงทุนในตลาดชายขอบ (Frontier Market) ที่เคยถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากในอดีตก็เป็นอีกหนึ่งในทางเลือกใหม่ในการลงทุนของคนกลุ่มนั้น
ตลาดชายขอบ (Frontier Market) เป็นนิยามที่ถูกใช้สำหรับประเทศที่มีรายได้ค่อนข้างต่ำกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่และมีตลาดทุนที่ยังด้อยการพัฒนา (ตลาดทุนที่มีขนาดเล็กและสภาพคล่องต่ำ) แต่มีสถานภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่ดีกว่า
“ประเทศรัฐล้มละลาย (Failed
states)[1]” ประเทศตลาดชายขอบ (Frontier Market) ประกอบด้วย 26 ประเทศ ซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณทวีปเอเซีย, เอเซียตะวันออก,
ยุโรปตะวันออก, แอฟริกา และ ละตินอเมริกา
ตัวอย่างประเทศที่บรรดานักลงทุนจัดอยู่ในประเทศตลาดชายขอบ (Frontier
Market) เช่น พม่า, ลาว, เวียดนาม, มองโกเลีย,
คาซัคสถาน, ไนจีเรีย เป็นต้น
ตลาดชายขอบ (Frontier Market) อยู่ในช่วงต้นของการพัฒนาจึงมีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เนื่องด้วยบางประเทศสงครามการเมืองเพิ่งสงบลง
ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายกับความผันผวนทางการเมืองจึงพร้อมเปิดรับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกประเทศเพื่อให้คุณภาพชีวิตของตนเองดีขึ้น
หรือบางประเทศในกลุ่มนี้ก็มีโครงสร้างประชากรวัยหนุ่มสาวที่อยู่ในกำลังแรงงาน (Labour Force) ค่อนข้างมากจึงเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ กอปรกับขนาดตลาดทุนที่ค่อนข้างเล็กหรือยังด้อยระดับการพัฒนา
มีแหล่งกู้เงินค่อนข้างน้อย
ประเทศเหล่านี้จึงมีอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อรายได้ประชาชาติ (Debt to GDP) ค่อนข้างต่ำ ยิ่งไปกว่านั้นตลาดชายขอบ (Frontier Market) มักมี correlation ต่ำ กับประเทศตลาดพัฒนาแล้ว
(Developed Market) และประเทศตลาดเกิดใหม่
(Emerging Market) จึงให้ประโยชน์ด้านกระจายความเสี่ยงแก่พอร์ตลงทุนภายใต้ความผันผวนในตลาดทุนโลกที่มีค่อนข้างสูงในปัจจุบัน
โดยสรุป การลงทุนในตลาดชายขอบ (Frontier Market) แม้จะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงจนน่าเย้ายวน
แต่นักลงทุนต้องเผชิญความเสี่ยงหลากหลายประการอาทิเช่น การขาดความโปร่งใส,
ข้อจำกัดของสภาพคล่อง, ความผันผวนทางสังคมและการเมือง
ตลอดจนความไร้เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน
นักลงทุนจึงต้องลงทุนในตลาดนี้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะตลาดชายขอบ (Frontier
Market) มีขนาดค่อนข้างเล็ก
มีสภาพคล่องต่ำกว่าตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และอาจมีความเสี่ยงสูญในการสูญเสียเงินต้นได้
[1] “ประเทศรัฐล้มละลาย
(Failed states) ” คือ
รัฐที่ไม่สามารถบริหารการปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หรือไม่สามารถดำรงรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยภายใน
มีความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมอย่างรุนแรง มีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย
รัฐบาลและกลไกรัฐขาดความมั่นคงและประสิทธิภาพ
จนไม่สามารถบริหารประเทศและแก้ปัญหาต่างๆ ให้ประสบผลสำเร็จได้